ยา PrEP

ยา PrEP

ยาเพร็พ หรือ PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) คือ ยาสำหรับป้องกันก่อนสัมผัสเชื้อเอชไอวี (HIV) โดยวิธีการกินคือ กินก่อนที่จะไปเจอความเสี่ยง ซึ่งยาเพร็พ (PrEP) สามารถลดอัตราการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ผ่านการมีเพศสัมพันธ์สูงถึง 99%

วิธีการกินยาเพร็พ (PrEP)

การกินยาเพร็พ (PrEP) สามารถกินได้ 2 วิธี

  1. ยาเพร็พแบบที่กินทุกวัน (Daily PrEP)
  2. ยาเพร็พแบบที่กินเฉพาะก่อนจะมีเพศสัมพันธ์ (On-Demand PrEP)

วิธีการกินนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของกิจกรรมทางเพศของผู้ที่ต้องการจะกินยาเพร็พ (PrEP)

ยาเพร็พ (PrEP) ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น ดังนั้นควรใส่ถุงทุกครั้งระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดป้องกันจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น

ผู้ที่ควรกินยาเพร็พ (PrEP) 

ยาเพร็พ (PrEP) เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวีสูง (HIV) เช่น คู่รักเพศเดียวกัน, ผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนหลายคน หรือผู้ที่รับยาเป็ป (PEPSE) เป็นประจำ เนื่องจากเกิดการผิดพลาดระหว่างมีเพศสัมพันธ์จนเกิดความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อเอชไอวี (HIV) เป็นต้น

หากต้องการรับยาเพร็พ (PrEP) หรือต้องการพบแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและวิธีการรักษาพร้อมรับยาเพร็พ (PrEP) สามารถติดต่อเราได้ตลอดเวลาทำการ

เพร็พ (PrEP-Pre-Exposure Prophylaxis) คือ ยาต้านไวรัสที่ป้องกันการติดชื้อเอชไอวีในผู้ที่มีผลเลือดลบ เริ่มใช้ตรียมไว้ก่อนจะมีโอกาสสัมผัสเชื้อ และใช้ต่อเนื่องไปจนหมด

  1. กินยา PrEP นี้เป็นประจำทุกวัน วันละ 1 ครั้ง
  2. ตรวจเลือดเพื่อติดตามประสิทธิภาพของยาทุก ๆ 3 เดือน
  3. ไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้ เช่น หนองใน หนองในเทียม หรือชิฟิลิส
  4. เพร็พอาจจะเหมาะกับคุณ หากคุณไม่สามารถใช้ถุงยางอนามัยได้ทุกครั้ง หรือเคยมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือใช้ยาเมื่อมีเพศสัมพันธ์

เพ็พ (PEP- Post-Exposure Prophylaxis) คือ ยาต้านไวรัสฉุกเฉิน สำหรับผู้ที่มีผลเลือดลบที่เพิ่งสัมผัสเชื้อมาไม่เกิน 72 ชั่วโมง

  1. ต้องได้รับทันที ห้ามเกิน 72 ชั่วโมง
  2. รับยาติดต่อกัน 28 วัน

สงสัยว่าสัมผัสเชื้อ ไม่แน่ใจในความเสี่ยง รีบรับคำปรึกษา และตรวจเลือดได้ทันที

 

ที่มา : PSK CLINIC คลินิกสุขภาพทางเพศ บริการตรวจและให้คำปรึกษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

CHEMSEX

CHEMSEX

ปัจจัยที่ทำให้คนใช้ Chemsex

  • ทำให้รู้สึกสุขสมกับเซ็กส์มากขึ้น (ยาช่วยเพิ่มการรับรู้ทางประสาทระหว่างมีเซ็กส์) บางคนรู้สึกว่าการใช้ chemsex ทำให้กล้าที่จะลองประสบการณ์ใหม่ในการมีเซ็กส์ (ลดความยับยั้งชั่งใจ)ทำให้มีเซ็กส์ได้ดีและนานขึ้น (บางคนอาจรู้สึกกดดัน หรือไม่มั่นใจว่าตนเองสามารถมีเซ็กส์ได้ดี การใช้ยาจะช่วยปลดปล่อยความรู้สึกนั้น) และความรู้สึกต่อตนเอง การสั่งสอนหรือความคิดความเชื่อในสังคมว่าการมีเซ็กส์แบบชาย-ชายเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไม่ควรทำ (บาป หรือผิดธรรมชาติ) ได้ส่งผลให้บางคนรู้สึกผิดหรืออับอายต่อตนเอง อาจทำให้ไม่สามารถสละความรู้สึกนี้ในขณะมีเซ็กส์ได้ จึงเลือกใช้ chemsex เพื่อกดความรู้สึกนั้น
  • ความเหงา รู้สึกโดดเดี่ยว เช่น อาจจะย้ายมาที่เมืองใหม่ ๆ หรือยากในการหาความสัมพันธ์ที่จริงจังเพราะในสังคม MSM เน้นการหาคู่นอนมากกว่าหาความสัมพันธ์จริงจัง
  • วัฒนธรรมเซ็กส์ในกลุ่มเกย์ ที่มักถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ไร้การยับยั้งชั่งใจ เร่าร้อน สนุก และทุกคนดูฮอท จึงใช้ chemsex เป็นตัวช่วยที่จะอยู่ในวัฒนธรรมนี้ได้
  • ผู้ที่ใช้ chemsex มีหลากหลายตัวตน รสนิยมและอัตลักษณ์ทางเพศ ไม่ใช่เพียงกลุ่ม MSM เท่านั้น มีคู่ชายหญิง transgender ที่ใช้เช่นกัน แต่ที่น่าสนใจคือ ปรากฏการณ์ที่กลุ่ม MSM หันมาใช้ chemsex เยอะและพบกับความเสี่ยงมากมาย
  • ชีวิตประจำวัน การมีตัวตนในสังคม การใช้ชีวิตที่บางคนไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ หรืออาจกังวลในการเผชิญการตีตราและเลือกปฏิบัติ
  • อาชีพและปัจจัยทางเศรษฐกิจ บางคนอาจทำงานบริการและใช้ยาในงานหากลูกค้าต้องการให้ใช้ หรือบางคนที่เป็นผู้ขายยา หารายได้เพิ่มด้วยการให้บริการ
  • ความสัมพันธ์กับคู่ ปัจจัยต่างๆ เช่น การไม่พูดเรื่องเซ็กส์ อาจทำให้ไม่สามารถบอกความต้องการหรือไม่กล้ามีเซ็กส์ในบางรูปแบบ การใช้ยาอาจช่วยลดความยับยั้งชั่งใจนั้น หรือบางคนอาจติดอยู่ในกรอบความเชื่อว่าการมีเซ็กส์กับผู้ชายเป็นเรื่องไม่เหมาะสม จึงใช้ยาเพื่อกดความรู้สึกไม่ดีไว้ หรือแค่ต้องการมีเซ็กส์ได้นานขึ้น สนุกขึ้น ให้รู้สึกว่าตัวเองหรือคู่เซ็กซี่กว่าเดิม
  • ความสัมพันธ์กับครอบครัว และเพื่อน กลุ่มเพื่อนที่เป็น MSM อาจส่งเสริมภาพลักษณ์ที่สังคมได้ผูกความเป็น MSM เข้ากับเซ็กส์ที่เร่าร้อนและสุดเหวี่ยง รวมถึงเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงยาไม่ว่าจากการไปปาร์ตี้ หรือจากการใช้แอพหาคู่ และในความสัมพันธ์อื่น ๆ บางคนอาจไม่สามารถเปิดเผยตัวตนกับครอบครัวหรือสังคมได้ จึงหนีจากกรอบและสร้างตัวตนระหว่างการใช้ chemsex
  • โซเชียลมีเดีย จากพื้นที่ที่มักไม่เปิดต่อ MSM ทำให้การหาคู่ผ่านโลกออนไลน์เป็นที่นิยม และเปิดโอกาสให้เข้าถึงยาได้

Chemsex ทำอย่างไรกับร่างกาย

สารเคมีที่ใช้เพื่อให้เกิดกิจกรรมทางเพศนั้น มีการทำงานผ่านระบบประสาทและสมอง จึงขออธิบายที่มาที่ไปของระบบที่ตอบสนองดังนี้

 

1. สมอง คือ อวัยวะที่ทำหน้าที่ควบคุมและสั่งการการทำงานของระบบต่าง ๆ ของร่างกาย สมองทำให้เรามีความสามารถในการรับรู้จดจำ รู้สึกนึกคิด แสดงอารมณ์ และตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น เพราะสมอง คือ อวัยวะสำคัญของระบบประสาทส่วนกลางมีการหลั่งสารเคมีชนิดต่าง ๆที่เรียกว่า สารสื่อประสาท (Neurotransmitters) เพื่อเป็นตัวนำสัญญาณประสาทจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปยังอีกเซลล์ประสาทหนึ่ง หรือเชื่อมโยงระหว่างเซลล์ประสาทกับเซลล์กล้ามเนื้อ โดยการส่งสัญญาณจะเกิดขึ้นบริเวณรอยต่อระหว่างเซลล์เมื่อกระบวนการนี้เกิดขึ้น การทำงานของระบบประสาทก็จะเกิดความสมบูรณ์

 

2. สารสื่อประสาท (Neurotransmitters)คือ สารเคมีที่ส่งสัญญาณประสาทจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปยังอีกเซลล์ประสาทหนึ่ง สารสื่อประสาทมีบทบาทในการควบคุมอารมณ์ และควบคุมระบบการทำงานของร่างกาย ซึ่งหากสูญเสียความสมดุลจะทำให้เกิดผลกระทบทางลบต่อสุขภาพ หรือ ความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ เช่น โรคซึมเศร้า โรคพาร์กินสัน โรคอ้วน โรคนอนไม่หลับ เป็นต้น สมองจะหลั่งสารสื่อประสาทเมื่อมีการกระตุ้นโดยสัญญาณประสาท ตัวส่งสารสื่อประสาทจะหลั่งสารสื่อประสาทออกมาในปริมาณที่เหมาะสมเป็นระยะเวลาสั้นๆ จากนั้นสารสื่อประสาทจะถูกดูดกลับเพื่อการนำกลับมาใช้ใหม่ หรือ ย่อยสลาย หรืออาจติดอยู่กับตัวรับเลยก็ได้ โดยสารสื่อประสาทในร่างกายมีมากมายหลายชนิด แต่ละชนิดส่งผลต่ออารมณ์ ความคิด พฤติกรรมบุคลิกภาพ และ ลักษณะนิสัยรวมถึง ระบบการทำงานของร่างกาย โดยมีหลายปัจจัยที่มีผลต่อการกระตุ้นให้สมองหลั่งสารสื่อประสาทแต่ละชนิด รวมถึงการ มีความรักหรือความสัมพันธ์ทางเพศ และ การใช้สารเสพติด

สารสื่อประสาท

สารสื่อประสาทและหน้าที่

สิ่งกระตุ้นทั่วไป

สารสื่อประสาทกับความสัมพันธ์ทางเพศ

หากปริมาณต่ำเกินไป

หากปริมาณมากเกินไป

เอนโดฟิน

เป็นยาระงับความปวดตามธรรมชาติ ช่วยบรรเทาความเครียด สร้างความรู้สึกเพลิดเพลินเป็นสุข เพิ่มความเชื่อมั่นในตนเองและมีส่วนช่วยในการควบคุมให้อยากอาหารน้อยลง

คือ การได้ทำกิจกรรมที่ชอบหรือ พึงพอใจเช่นการออกกำลังกายการเล่นดนตรี การสร้างสรรค์งานศิลปะการนวดการดูทีวี หรือการรับประทานอาหาร

การสัมผัสคนรักการแสดงความรัก หรือในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์

มีอาการซึมเศร้าวิตกกังวล หงุดหงิดง่าย มีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น ก้าวร้าว ปวดเมื่อย หรือนอนไม่หลับ

อะดรีนาลิน

ความจำเป็นต่อกระบวนการย่อยสลายดูดซึมสารอาหารเพื่อใช้เป็นพลังงานสำหรับร่างกายทำให้หัวใจแข็งแรงและทำให้เลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อมากขึ้นเมื่อร่างกายเกิดความเครียด

การทำกิจกรรมที่มีความท้าทายความเสี่ยง หรือมีความตื่นเต้น รวมถึงการลุ้นผลรางวัล การเล่นการพนัน

การจีบคนที่เรามีความสนใจเพื่อการมีเพศสัมพันธ์ หรือเพื่อต้องการให้อีกฝ่ายตอบรับ

หากอะดรินาลินมีระดับผิดปกติ จะมีผลต่อความวิตกกังวล การนอนหลับ อารมณ์ ความดันเลือดสูง

โดปามีน

มีบทบาทต่อการเรียนรู้การจดจำ ทักษะต่าง ๆการนอนหลับ ระบบภูมิคุ้มกัน ความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า สมาธิในการทำงาน การมองโลกในแง่ดี อารมณ์ที่พึงพอใจความรู้สึกรักและยินดี รวมถึงช่วยควบคุมการตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวและอารมณ์

โดปามีนจะมีการหลั่งได้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะในช่วงอายุ 12-30 ปี เนื่องจากเป็นช่วงของวัยเจริญพันธุ์การรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น นม ไข่เนื้อสัตว์ หรือธัญพืชต่างๆ

ช่วงเวลาที่ถึงจุดสุดยอดของการมีเพศสัมพันธ์

โรคพาร์กินสัน โรคซึมเศร้า

การย้ำคิดย้ำทำอารมณ์ร้อนหรือทำให้เกิดโรคจิตเภท

เซโรโทนิน

ประมาณ 80-90% จะถูกสร้างและอยู่ที่ระบบทางเดินอาหารโดยเฉพาะที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ที่เหลือจะสร้างที่สมอง มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความรู้สึกช่วยระงับความโกรธและความก้าวร้าว ความรู้สึกปลอดภัย ไว้วางใจ เป็นมิตรควบคุมความรู้สึกเจ็บปวดความอยากอาหาร การนอนหลับความปรารถนาทางเพศ การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย เพิ่มความดันเลือดความทรงจำและการเรียนรู้

มีการหลั่งเองตามธรรมชาติของร่างกายและ การทานอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ นมไข่ถั่วเหลือง ปลาทูน่า รวมถึง การออกกำลังกาย และการรับแสงแดดอ่อนๆ

ขณะที่อยู่ในสภาวะอารมณ์ของการชอบพอหลงใหล หรือตกหลุมรัก

ความเครียดวิตกกังวล อยู่ไม่สุข ไม่มีสมาธิโกรธง่ายหงุดหงิด และบางครั้งก็แสดพฤติกรรมที่ก้าวร้าวรุนแรง อาการซึมเศร้า ไมเกรน และเกิดแนวโน้มการฒ่าตัวตายได้ รู้สึกง่วงนอนในระหว่างวันมากกว่าตอนกลางคืน ความต้องการทางเพศลดลง นอนไม่หลับ

กระสับกระส่ายอยู่ไม่สุขคลื่นไส้และอาเจียนสับสนเพ้อ เห็นภาพหลอน หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดจังหวะ มีไข้สูงมากกว่า 40 องศา กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง กระตุกจนเกิดอาการชัก

นอร์อะดรีนาลิน

เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจกระตุ้นให้มีการหลั่งน้ำตาลกลูโคสสู่กระแสเลือดมากขึ้นเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังกล้ามเนื้อ ทำให้สมองตื่นตัวเพื่อเพิ่มความเร็วในการตอบสนองในภาวะคับขันและ ทำให้มีสมาธิ มีผลต่อการแข็งตัวของอวัยวะเพศชายในช่วงกลางคืน และตอนตื่นนอน

มีการหลั่งเมื่อร่างกายอยู่ในสถานการณ์คับขัน ภาวะกดดัน หรือมีอันตรายและการหลั่งตามธรรมชาติในเวลากลางวันและหลั่งลดลงในเวลากลางคืน

มีผลต่อการแข็งตัวของอวัยวะเพศชายในช่วงกลางคืนและ ตอนตื่นนอน

โรคสมาธิสั้น โรคซึมเศร้าความดันเลือดต่ำ

หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดจังหวะ ความดันเลือดสูงอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นเกิดความรู้สึกวิตกกังวลมากเกินไป

สารเสพติดและชื่อเรียกในกลุ่มผู้ใช้ยา

สารเสพติด

ชื่อเรียกในกลุ่มผู้ใช้

ยาไอซ์ (Methamphetamine)

ตัวใหญ่/ น้ำแข็ง /งาน/ สเก็ต/ ไฮ/ บิน

ยาอี/ยาเลิฟ (Ecstasy)/Methylenedioxymethamphetamine (MDMA)

ขนม / อี / MDMA

ยาบ้า (Amphetamine)

ตัวเล็ก/ ยาม้า / ม้า / สปีด

เคตามีน (Ketamine)

เค

ป๊อปเปอร์ (Alkyl nitrites)

ป๊อปเปอร์

ซาแน็กซ์ (Alprazolam)

ยาแมว / แมว / แน็กซ์ / มาโน่

GHB (Gamma hydroxybutyrate)

GHB

สารเสพติดทำงานกับสมองของเราอย่างไร

สารเสพติด

ผลต่อสารสื่อประสาท

สารเสพติดทุกชนิด

เพิ่ม เอนโดฟิน    

เอนโดฟินเป็นยาระงับความปวดตามธรรมชาติ ช่วยบรรเทาความเครียด สร้างความรู้สึกเพลิดเพลินเป็นสุข เพิ่มความเชื่อมั่นในตนเองและมีส่วนช่วยในการควบคุมให้อยากอาหารน้อยลง

สารเสพติดทุกชนิด

อะดรีนาลีน สูงขึ้นในขณะที่กำลังรอสารเสพติดเข้าร่างกาย

อะดรีนาลีนมีความจำเป็นต่อกระบวนการย่อยสลายดูดซึมสารอาหารเพื่อใช้เป็นพลังงาสำหรับร่างกาย ทำให้หัวใจแข็งแรงและทำให้เลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อมากขึ้นเมื่อร่างกายเกิดความเครียด

เฮโรอีน, ยาไอซ์, โคเคน, ยาอี, GHB

เพิ่ม โดปามีน

โดปามีนมีบทบาทต่อการเรียนรู้การจดจำ ทักษะต่าง ๆ การนอนหลับ ระบบภูมิคุ้มกัน ความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า สมาธิในการทำงาน การมองโลกในแง่ดี อารมณ์ที่พึงพอใจ ความรู้สึกรักและยินดี รวมถึงช่วยควบคุมการตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวและอารมณ์

ยาอี , ยาไอซ์

เพิ่ม เซโรโทนิน

เซโรโทนินประมาณ 80-90% จะถูกสร้างและอยู่ที่ระบบทางเดินอาหารโดยเฉพาะที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ที่เหลือจะสร้างที่สมอง มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความรู้สึก ช่วยระงับความโกรธและความก้าวร้าว ความรู้สึกปลอดภัย ไว้วางใจ เป็นมิตร ควบคุมความรู้สึกเจ็บปวด ความอยากอาหาร การนอนหลับ ความปรารถนาทางเพศ การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย เพิ่มความดันเลือด ความทรงจำและการเรียนรู้

ยาอี , ยาไอซ์

เพิ่ม นอร์อะดรีนาลิน

นอร์อะดรีนาลีนมีหน้าที่เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ กระตุ้นให้มีการหลั่งน้ำตาลกลูโคสสู่กระแสเลือดมากขึ้น เพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังกล้ามเนื้อ ทำให้สมองตื่นตัว เพื่อเพิ่มความเร็วในการตอบสนองในภาวะคับขันและ ทำให้มีสมาธิ มีผลต่อการแข็งตัวของอวัยวะเพศชายในช่วงกลางคืน และ ตอนตื่นนอน

ที่มา : จารุณี ศิริพันธุ์ สุพจน์ ตั้งเสรีทรัพย์ พีราณี ศุภลักษณ์,CHEMSEX 101.เรียนรู้ เข้าใจ เพื่อป้องกันและลดอันตรายที่เกิดจากการใช้ Chemsex ในประเทศไทย. สนับสนุนโดย LINKAGES Thailand FHI 360

HIV/AIDS

HIV/AIDS

เชื้อ HIV สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสเลือด น้ำเหลือง น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด ส่วนน้ำลาย เสมหะและน้ำนมมีปริมาณเชื้อ HIV น้อย สำหรับเหงื่อ ปัสสาวะและอุจจาระแทบไม่พบเลย ทั้งนี้มีช่องทางการติดต่อที่สำคัญ ได้แก่

  1. การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เช่น ไม่ได้ใส่ถุงยางอนามัย ไม่ว่าชายกับชาย ชายกับหญิง หรือหญิงกับหญิง ทั้งทางช่องคลอดและทวารหนัก ก็ล้วนมีโอกาสติดโรคนี้ได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้ จากข้อมูลของการระบาดวิทยาพบว่า มากกว่าร้อยละ 80 ของผู้ติดเชื้อ HIV ได้รับเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์
  2. ใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อ HIV ซึ่งมักพบในกลุ่มผู้ฉีดสารเสพติดเข้าเส้นเลือด
  3. การสัมผัสเลือดหรือน้ำเหลืองของผู้ติดเชื้อ HIV ผ่านผิวสัมผัสที่เป็นแผลเปิดหรือรอยถลอก รวมทั้งการใช้ของมีคมร่วมกับผู้ติดเชื้อ HIV โดยไม่ทำความสะอาดอุปกรณ์ให้สะอาดเพียงพอ เช่น มีดโกนหนวด กรรไกรตัดเล็บ เข็มสักผิวหนังหรือคิ้ว เข็มเจาะหู
  4. การติดต่อจากแม่สู่ลูก ทั้งระหว่างตั้งครรภ์ การคลอดและการเลี้ยงดูด้วยนมแม่
  5. การรับโลหิตบริจาคที่มีเชื้อ HIV ปนเปื้อน ซึ่งมีโอกาสน้อยมากในปัจจุบัน เนื่องจากโลหิตที่ได้รับบริจาคทุกขวดต้องผ่านการตรวจหาการติดเชื้อ HIV เพื่อความปลอดภัย

หากสงสัยว่า ได้รับเชื้อ HIV ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อกินยาต้านเชื้อ HIV แบบฉุกเฉินหรือยา PEP (เพ็บ) ภายใน 72 ชั่วโมง หรือหากมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับเชื้อสามารถกินยา PrEP (เพร็บ) ซึ่งเป็นยาที่กินก่อนที่จะได้รับเชื้อหรือป้องกันเชื้อ HIV ได้

ระยะของการติดเชื้อ HIV

ระยะแรกเริ่มของการติดเชื้อ HIV ในช่วงแรกที่ติดเชื้อปริมาณไม่มาก และยังไม่ได้สร้างภูมิต้านทานขึ้นมาอาจยังตรวจหาเชื้อหรือภูมิต้านทานต่อเชื้อไม่พบ ซึ่งอาจเป็นช่วงตั้งแต่ 2-12 สัปดาห์ ในระยะนี้ผู้ติดเชื้อจะมีอาการไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว น้ำหนักลด หรือมีฝ้าขาวในช่องปาก อาการเหล่านี้มักจะเป็นอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ แล้วหายไปได้เอง และเนื่องจากอาการคล้ายไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่หรือไข้ทั่วไป ผู้ติดเชื้ออาจซื้อยากินเองหรือไปพบแพทย์ก็อาจไม่ได้รับการตรวจเลือด นอกจากนี้บางรายหลังติดเชื้ออาจไม่มีอาการผิดปกติปรากฏให้เห็น ดังนั้นผู้ติดเชื้อบางรายจึงอาจไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่ในระยะนี้

ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ ผู้ติดเชื้อมักจะแข็งแรงเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป แต่เมื่อตรวจเลือดจะพบเชื้อ HIV และสารภูมิคุ้มกันต่อเชื้อชนิดนี้ จึงสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ เรียกว่าเป็นพาหะ (Carrier) ระยะนี้แม้ว่าจะไม่มีอาการแต่เชื้อ HIV จะแบ่งตัวเจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ และทำลายระบบภูมิคุ้มกันโรคจนมีจำนวนลดลง เมื่อลดต่ำลงมาก ๆ ก็จะเกิดอาการเจ็บป่วย ทั้งนี้อัตราการลดลงของระบบภูมิคุ้มกันโรคจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเชื้อ HIV และสภาพความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันโรคของผู้ติดเชื้อเอง ระยะนี้คนส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 85 มักเป็นอยู่นาน 5-10 ปี แต่มีกลุ่มผู้ป่วยประมาณร้อยละ 10 ที่ระยะนี้อาจสั้นเพียง 2-3 ปี ซึ่งเรียกว่า กลุ่มที่มีการดำเนินโรคเร็ว (Rapid progressor) ในขณะที่ประมาณร้อยละ 5 จะมีการดำเนินโรคช้า โดยบางรายอาจนานกว่า 10-15 ปีขึ้นไป เรียกว่า กลุ่มที่ควบคุมเชื้อได้ดีเป็นพิเศษ (Elite controller)

ระยะติดเชื้อที่มีอาการ  ผู้ป่วยจะมีอาการมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระบบภูมิคุ้มกันโรค ดังนี้

อาการเล็กน้อย ระยะนี้ถ้าตรวจระดับ CD4 มักจะมีจำนวนมากกว่า 500 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร ผู้ป่วยอาจมีอาการต่อมน้ำเหลืองที่คอโตเล็กน้อย โรคเชื้อราที่เล็บ แผลร้อนในในช่องปาก ผิวหนังอักเสบชนิดเกล็ดรังแคที่ไรผม ข้างจมูก ริมฝีปาก ฝ้าขาวข้างลิ้นซึ่งขูดไม่ออก โรคสะเก็ดเงินที่เคยเป็นอยู่เดิมกำเริบ

อาการปานกลาง ระยะนี้ถ้าตรวจระดับ CD4 มักจะมีจำนวนระหว่าง 200-500 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร ผู้ป่วยอาจมีอาการดังนี้ เริมที่ริมฝีปากหรืออวัยวะเพศ ซึ่งกำเริบบ่อยและเป็นแผลเรื้อรัง งูสวัด โรคเชื้อราในช่องปากหรือช่องคลอด ท้องเสียบ่อยหรือเรื้อรังนานเกิน 1 เดือน มีไข้เป็น ๆ หาย ๆ หรือติดต่อกันทุกวันนานเกิน 1 เดือน ต่อมน้ำเหลืองโตมากกว่า 1 บริเวณ (เช่น คอ รักแร้ และขาหนีบ) นานเกิน 3 เดือน น้ำหนักลดเกินร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ ปวดกล้ามเนื้อและข้อ ไซนัสอักเสบเรื้อรัง ปอดอักเสบจากแบคทีเรีย

ระยะป่วยเป็นเอดส์ (เอดส์เต็มขั้น) ระยะนี้ระบบภูมิคุ้มกันโรคของผู้ป่วยเสื่อมเต็มที่ ถ้าตรวจระดับ CD4 จะพบว่ามักมีจำนวนต่ำกว่า 200 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร เป็นผลทำให้เชื้อโรคต่าง ๆ เช่น ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา โปรโตซัว วัณโรค ฉวยโอกาสเข้ารุมเร้าเรียกว่า โรคติดเชื้อฉวยโอกาส ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อที่รักษาค่อนข้างยากและอาจติดเชื้อชนิดเดิมซ้ำ หรือชนิดใหม่หรือหลายชนิดร่วมกัน ระยะนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการดังนี้ มีไข้เรื้อรังติดต่อกันหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน ไอเรื้อรังหรือหายใจหอบเหนื่อยจากวัณโรคปอดหรือปอดอักเสบ ท้องเสียเรื้อรังจากเชื้อราหรือโปรโตซัว น้ำหนักลด รูปร่างผอมแห้งและอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน กลืนลำบากหรือเจ็บเวลากลืนเนื่องจากหลอดอาหารอักเสบจากเชื้อรา สายตาพร่ามัว มองไม่ชัดหรือเห็นเงาหยากไย่ลอยไปลอยมา ตกขาวบ่อยในผู้หญิง มีผื่นคันตามผิวหนัง ซีด มีจุดแดงจ้ำเขียวหรือเลือดออกจากภาวะเกล็ดเลือดต่ำ สับสน ความจำเสื่อม หลงลืมง่าย ไม่มีสมาธิ พฤติกรรมผิดแปลกจากเดิมเนื่องจากความผิดปกติของสมอง ปวดศีรษะรุนแรง ชัก สับสน ซึม หรือหมดสติจากการติดเชื้อในสมอง อาการของโรคมะเร็งที่เกิดแทรกซ้อน เช่น มะเร็งของผนังหลอดเลือด มะเร็งต่อมน้ำเหลืองในสมอง มะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก เป็นต้น

ถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัย

CONDOM : ถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ ซึ่งจะเสื่อมสภาพได้เองเมื่อระยะเวลาผ่านไปแต่จะเสื่อมสภาพมากขึ้นหากมีการเก็บรักษาอย่างไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีอากาศร้อนชื้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพก่อนถึงระยะเวลาที่กำหนด จึงควรมีวิธีการเก็บรักษาอย่างถูกต้อง

? ไม่ควรเก็บในที่มีความชื้นสูง ที่ร้อนหรือถูกแสงแดดหรือแสงฟลูออเรสเซนต์ส่องโดยตรง

? ไม่ควรเก็บถุงยางอนามัยไว้ในรถยนต์เพราะมีโอกาสได้รับความร้อนสูงเป็นเวลานาน

? ไม่ควรเก็บในที่ๆไม่เหมาะสม เช่น ในกระเป๋าสตางค์หรือกระเป๋ากางเกงด้านหลัง เพราะจะมีการกดทับทำให้ถุงยางอนามัยฉีกขาดได้ง่าย

ชนิดของถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัยแบ่งชนิดตามลักษณะผิวเป็น 2 ชนิด คือ ผิวเรียบและผิวไม่เรียบ นอกจากนี้ผู้ซื้อควรสังเกตข้อความอื่นๆว่าครบถ้วนและตรงกับความต้องการหรือไม่ เช่น ชื่อผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า รุ่นที่ผลิตเดือนปีที่ผลิต มีสารหล่อลื่นหรือสารฆ่าเชื้ออสุจิ มีสารแต่งกลิ่นหรือไม่ ฯลฯ ถุงยางอนามัยโดยทั่วไปทำจากน้ำยางธรรมชาติ น้ำยางสังเคราะห์ มีหลายสีให้เลือก มีหลายแบบ ทั้งแบบปลายเรียบมน ปลายเป็นกระเปาะหรือเป็นติ่งยื่นออกมาแบบชโลมด้วยสารหล่อลื่น และแบบที่เคลือบน้ำยาฆ่าตัวอสุจิ ถ้าแบ่งตามลักษณะผิว จะมีทั้งแบบผิวเรียบและผิวไม่เรียบ ถ้าแบ่งตามขนาด มีด้วยกันถึง 13 ขนาดตั้งแต่ขนาด 44 จนถึง 56 มิลลิเมตร ในประเทศไทยขณะนี้จำหน่ายขนาด 49 , 51, 52 ,53, 54 และ 56 มิลลิเมตร

เพื่อความมั่นใจมากขึ้นสำหรับการคุมกำเนิดและป้องกันการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงได้มีการนำสารที่เรียกว่า “โนน็อกซินอล” (Nonoxynol) ซึ่งเป็นสารฆ่าเชื้ออสุจิเคลือบบนถุงยางอนามัย

ข้อดีของถุงยางอนามัยชาย

? ใช้คุมกำเนิด ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

? ใช้ได้โดยไม่ต้องปรึกษาแพทย์ ปลอดภัย ไม่มีอาการแทรกซ้อนหรืออาการข้างเคียง เห็นผลง่ายและป้องกันได้ทันที

? พกสะดวก น้ำหนักเบา หาซื้อได้ง่าย ราคาถูก ใช้เสร็จแล้วทิ้งได้เลย

? ช่วยยืดระยะเวลาหลั่งน้ำอสุจิได้ และไม่มีผลเสียต่อการเจริญพันธุ์เมื่อเลิกใช้

ข้อจำกัดของถุงยางอนามัยชาย

? ต้องสวมถุงยางอนามัยในขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่

? ความรู้สึกในการใช้ถุงยางอนามัย บางคนใช้แล้วรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ แม้ว่าถุงยางอนามัยจะบางมาก

? ต้องจัดเก็บในที่เหมาะสม ไม่อยู่ในที่ร้อนจัดหรือแสงแดดส่องถึง และเมื่อใช้เสร็จแล้วควรทิ้งถุงยางอนามัยในที่เหมาะสม

? หากใช้ผิดวิธี อาจทำให้ถุงยางอนามัยแตกและมีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้

? ควรมีแหล่งบริการถุงยางอนามัยให้เข้าถึงได้สะดวก

การเลือกซื้อถุงยางอนามัย

อ่านฉลากก่อนซื้อ และก่อนเลือกใช้ สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณา คือ

? บรรจุภัณฑ์อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ไม่ชำรุดเสียหาย

? มีเครื่องหมาย อย.เพื่อให้ทราบว่าถุงยางอนามัยมีคุณภาพ ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือไม่

? เดือน ปี ที่หมดอายุ ก่อนซื้อต้องสังเกต เดือน ปี ที่หมดอายุของถุงยางอนามัยที่พิมพ์ไว้บนกล่องหรือซองบรรจุ หากเป็น เดือน ปี ที่ผลิต ให้คิดอายุการใช้งานโดยบวกเพิ่มไปไม่เกิน 5 ปี

? เลือกขนาดที่เหมาะสม และคุณสมบัติที่ตรงกับความต้องการ

สารหล่อลื่น

การผลิตถุงยางอนามัยโดยปกติแล้วจะมีการเติมสารหล่อลื่นด้วย

สารหล่อลื่นที่ใช้ได้ คือ สารหล่อลื่นชนิดน้ำ (Water-Based Lubricants) มีน้ำหรือซิลิโคน เป็นตัวละลาย เช่น กลีเซอรีน เค-วายเจลลี่

สารหล่อลื่นที่ไม่ควรใช้ คือ สารหล่อลื่นที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน (Oil-Based Lubricants) น้ำมันพืช น้ำมันแร่ เช่น ปิโตรเลี่ยม เจลลี่ น้ำมันทาผิว น้ำมันปรุงอาหาร ฯลฯ น้ำมันจะไปทำปฏิกิริยากับยาง และทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพและแตกขาดได้

วิธีการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้อง

1. ใช้ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางทวารหนัก ช่องคลอดหรือทางปาก ควรพกถุงยางอนามัยมากกว่าหนึ่งชิ้น ให้เพียงพอต่อการใช้ วางถุงยางอนามัยในที่หยิบง่าย เพื่อสะดวกต่อการใช้งาน

2. ใช้ตลอดการมีเพศสัมพันธ์ โดยใส่ถุงยางอนามัยขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ ระหว่างใช้ ถ้าลื่นหลุดหรือแตกต้องเปลี่ยนอันใหม่ทันที

3. นำถุงยางอนามัยออกจากซองอย่างระมัดระวัง โดยรีดถุงยางอนามัย ไปไว้ที่มุมใดมุมหนึ่ง ฉีกซองโดยระวังมิให้เล็บมือเกี่ยวถุงยางอนามัยขาดและอย่าคลี่ถุงยางอนามัยออกก่อนการสวมใส่

4. บีบส่วนปลายของถุงยางอนามัยเพื่อไล่ลมออก มิฉะนั้นจะทำให้ถุงยางอนามัยแตกได้

5. รูดถุงยางอนามัยให้ขอบถุงยางอนามัยที่ม้วนอยู่ด้านนอก หากอวัยวะเพศไม่ได้ขลิบปลาย ให้รูดหนังส่วนปลายก่อนการสวมใส่ ค่อยๆรูดถุงยางอนามัยเข้าหาตัวจนสุดโคนอวัยวะเพศ

6. ถ้าใช้ถุงยางอนามัยแล้วรู้สึกฝืด ให้หยดสารหล่อลื่นหรือเจลชนิดละลายในน้ำ เช่น เค-วาย เจล 1-2 หยด บริเวณด้านนอกถุงยางอนามัย จะช่วยให้รู้สึกราบรื่นขึ้น ห้ามใช้โลชั่น น้ำมันทาผิว หรือครีมทาผม กับถุงยางอนามัย เพราะผลิตภันฑ์ที่มีน้ำมันเป็นส่วนผสม จะทำให้ถุงยางอนามัยแตก และรั่วซึมได้

7. หลังเสร็จกิจให้ดึงอวัยวะเพศออกทันทีและถอดถุงยางอนามัยออกก่อนที่อวัยวะเพศจะอ่อนตัว โดยใช้กระดาษชำระพันโคนถุงยางอนามัยก่อนที่จะถอด หากไม่มีกระดาษชำระจะต้องระวังไม่ให้มือสัมผัสกับด้านนอกของถุงยางอนามัย ควรสันนิษฐานว่าด้านนอกของถุงยางอนามัยอาจจะปนเปื้อนเชื้อโรคแล้ว

8. ถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วควรห่อให้มิดชิด แล้วทิ้งในถังขยะ ห้ามใช้ซ้ำ

ทำอย่างไร… ถ้าถุงยางอนามัยแตก

1. หยุดร่วมเพศทันที แล้วถอดถุงยางอนามัยออก

2. ปัสสาวะทิ้งและล้างอวัยวะเพศด้านนอกด้วยน้ำสะอาด อย่าฉีดน้ำสวนช่องทวาร หรือช่องคลอด เพราะอาจทำให้เกิดแผลเปิด และน้ำอาจดันน้ำเชื้อและเชื้อโรคเข้าไปได้

3. สวมถุงยางอนามัยชิ้นใหม่

4. หากร่วมเพศทางทวารหนักควรปฏิบัติตามขั้นตอนข้างต้น แต่ห้ามถ่ายอุจจาระ เพราะอาจทำให้เกิดแผลเปิดในช่องทวารหนัก และเปิดช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้

ถุงยางอนามัยใครว่าเรื่องของผู้ชาย

อุปกรณ์คุมกำเนิดส่วนใหญ่ มุ่งไปที่ผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็น ยาคุม ยาฉีด ยาฝัง หรือห่วงคุมกำเนิด ซึ่งล้วนแต่ป้องกันการท้อง แต่ไม่สามารถป้องกันเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ยกเว้นอุปกรณ์เพียงหนึ่งเดียวที่ป้องกันได้ทั้งท้องและโรค แต่ผู้หญิงกลับไม่ได้ใช้เอง คือ ถุงยางอนามัย เราควรคิดใหม่ว่าถุงยางอนามัยเป็นเรื่องของคน 2 คน ทั้ง 2 ฝ่าย สามารถเริ่มต้นชวนคุยและชวนกันใช้ถุงยางอนามัยได้

เพื่อสร้างความมั่นใจในการมีเพศสัมพันธ์ที่มีความสุข ไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

ใช้ถุงยางอนามัยง่ายนิดเดียวถ้าอยากใช้

ใส่ถุงยางอนามัยให้มั่นใจ ต้องเริ่มใส่เมื่ออวัยวะเพศชายแข็งตัว ไม่ว่าจะใส่เองหรือคู่นอนใส่ให้ ก็อย่าลืมบีบถุงยางอนามัยไล่ลมแล้วรูดให้สุดโคน เมื่อหลั่งน้ำอสุจิเสร็จแล้วจึงถอดถุงยางอนามัย ข้อดีของการใช้ถุงยางอนามัย คือ ช่วยยืดเวลาการหลั่งน้ำอสุจิให้ช้าลง ทำให้มีความสุขร่วมกันนานขึ้น ไม่ต้องกังวลเรื่องการติดเชื้อ และยังมีให้เลือกหลายแบบ ข้อสำคัญอย่าลืมเตรียมถุงยางอนามัยไว้ข้างกาย เพราะเราต้องรอบคอบ เตรียมพร้อมต่อการมีเซ็กส์ที่ปลอดภัยเสมอ

ถุงยางอนามัยสองชั้น และใส่ก่อนหลั่ง…ชัวร์หรือมั่วนิ่ม

วัยรุ่นและไม่รุ่นหลายคนมักใส่ถุงยางอนามัย 2 ชั้น เพื่อเพิ่มการป้องกัน แต่วิธีการนี้ไม่ช่วยป้องกันการติดเชื้อมากไปกว่าการใส่ถุงยางอนามัยชั้นเดียว ยิ่งไปกว่านั้น การใส่ถุงยางอนามัยสองชั้นทำให้เนื้อยางเสียดสีกันมากขึ้นและอาจทำให้รั่วซึมได้ ส่วนการใส่ถุงยางอนามัยก่อนหลั่งนั้น ก็เหมือนกับการหลั่งภายนอก เพราะมีการสอดใส่และสัมผัสน้ำหล่อลื่นของทั้งคู่ไปแล้วจึงอาจจะมีโอกาสติดเชื้อได้

Sex รอบคอบ ตอบ OK

Sex อย่างไร คือ รอบคอบ

  • ไม่พร้อมมี Sex ต้อง “Say No”
  • ถุงยางอนามัยป้องกันโรคได้ ไม่ใช้ถือว่า “ประมาท”

Sex แบบไหน ถึงจะตอบ OK

  • มีถุงยางอนามัย พร้อมใช้ ใช้ถูกวิธี ทุกครั้งที่มี Sex
  • ใช้ถุงยางอนามัย คือ รับผิดชอบตนเองและคู่

ที่มา : กรมควบคุมโรค

PrEP คืออะไร?

PrEP คืออะไร?

PrEP คืออะไร

PrEP เป็นชื่อย่อของ PreExposure Prophylaxis คือการให้ยาต้านไวรัสแก่ผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อเอชไอวี ก่อนมีการสัมผัส (pre-exposure) ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เพื่อป้องกัน (prophylaxis) การติดเชื้อเอชไอวีจากการสัมผัสนั้น PrEP สามารถให้ได้ทั้งในรูปยากิน หรือสารฆ่าจุลินทรีย์ (microbicides)ในรูปเจลผสมยาต้านไวรัสใส่ในช่องคลอด หรือในทวารหนัก และห่วงบรรจุยาต้านใส่ในช่องคลอด

 

หลักฐานสนับสนุนประสิทธิผลของ PrEP

PrEP มีแนวคิดมาจากความรู้เกี่ยวกับพยาธิกำเนิดของการติดเชื้อเอชไอวีหลังการสัมผัส โดยพบว่าหลังการสัมผัสเชื้อเอชไอวี เช่น หลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือหลังถูกเข็มตำ การติดเชื้อจะเกิดอยู่เฉพาะที่ โดยการติดเชื้อทั่วร่างกายจะยังไม่เกิดขึ้นทันที แต่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-3 วันหลังการสัมผัส ในช่วงเวลานี้ พบว่าจะมีเซลล์บริเวณทางเข้าของเชื้อเป็นตัวรับเชื้อเอชไอวีและส่งต่อเชื้อไปให้แก่เซลล์ใกล้เคียงและนำเชื้อไปที่ต่อมน้ำเหลืองเฉพาะที่ จากนั้นจะมีการแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวีไปทั่วร่างกาย ประมาณ 5 วันหลังสัมผัส พบว่าการให้ยาต้านรีโทรไวรัสหลังสัมผัส (PostExposureProphylaxis or PEP) สามารถขัดขวางกระบวนการติดเชื้อดังกล่าวได้ แต่การให้ PEP จะต้องให้ทันทีหลังสัมผัสซึ่งมักจะมีปัญหาในทางปฏิบัติที่ผู้สัมผัสมักจะมาพบบุคลากรทางการแพทย์หลังสัมผัสล่าช้า จึงมีการประยุกต์การให้ PrEP แก่ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการสัมผัสเพื่อป้องกันการติดเชื้อได้ทันท่วงทีหลังการสัมผัส การให้PrEP มีหลักฐานจากการศึกษาทั้งในสัตว์ทดลองและการศึกษาทางคลินิกว่ามีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้

 

ใครควรได้รับ PrEP

1. ชายรักชาย ที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อเอชไอวีจากการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักกับคู่นอนที่ติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ทราบว่าติดเชื้อหรือไม่

2. หญิงและชายที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อเอชไอวีจากการมีเพศสัมพันธ์แบบรักต่างเพศทางช่องคลอดหรือทางทวารหนักกับคู่นอนที่ติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ทราบว่าติดเชื้อหรือไม่

ทั้งนี้จะต้องเน้นให้ผุ้ที่ได้รับ PrEP เห็นความสำคัญของการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอร่วมกับการใช้ PrEP ผู้ที่จะได้รับ PrEP จะต้องมีหลักฐานจากการตรวจเลือดว่าไม่มีการติดเชื้อเอชไอวี ณ เวลาที่ได้รับ PrEP รวมทั้งไม่มีประวัติ และอาการและ/หรืออาการแสดงที่บ่งชี้ถึงการติดเชื้อเอชไอวีเฉียบพลัน

 

PrEP ใช้ยาอะไรและบริหารยาอย่างไร

ยาที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาให้ใช้ใน PrEP ได้ ตั้งแต่ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2555 คือ tenofovir (TDF) ขนาด 300 มก. และ emtricitabine (FTC) ขนาด 200 มก. ซึ่งรวมอยู่ในยาเม็ดเดียวกัน (TDF/FTC) บริหารยาโดยการกินครั้งละ 1 เม็ดวันละครั้ง และต้องกินยาทุกวันอย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงเวลาที่ยังมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอน (ไม่ใช่กินเฉพาะเวลาที่จะมีเพศสัมพันธ์) ส่วน PrEP ในรูปของ microbicides ยังอยู่ในระหว่างรอผลการศึกษาวิจัยทางคลินิกที่มากกว่านี้

 

ประสิทธิผลของ PrEP

จากการศึกษาทางคลินิก PrEP มีประสิทธิผล ร้อยละ 44-73 ในชายรักชาย และ ร้อยละ 62-75 ในหญิงหรือชายที่มีเพศสัมพันธ์แบบรักต่างเพศ ทั้งนี้ประสิทธิผลของ PrEP ขึ้นอยู่กับการกินยาอย่างครบถ้วนสม่ำเสมอ (adherence)

 

ความปลอดภัยของ PrEP

อาจเกิดข้างเคียงจาก PrEPได้ และอาจต้องเพิ่มความระมัดระวัง เนื่องจากเป็นการให้ยาแก่ผู้ที่ไม่ติดเชื้อและไม่มีอาการผิดปกติ การเกิดผลข้างเคียงเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ผู้ที่ได้รับ PrEP หยุดยาหรือกินยาไม่สม่ำเสมอได้ อย่างไรก็ดีจากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าผลข้างเคียงเกิดขึ้นน้อย ที่พบได้คืออาการคลื่นไส้และน้ำหนักลดหลังได้รับยาในระยะแรก ผลข้างเคียงระยะยาวพบได้น้อย (น้อยกว่าร้อยละ 5) ได้แก่ ผลต่อการทำงานต่อไต อย่างไรก็ดี ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียงอื่นๆ เช่น การสูญเสียมวลกระดูก และ การกำเริบของไวรัสตับอักเสบบีหลังหยุดยา (ในกรณีที่ผู้ได้รับ PrEP มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีร่วมด้วย)

 

การนำ PrEP ไปใช้

แม้ว่ามีหลักฐานหลายประการสนับสนุนประโยชน์ของ PrEP แต่ก่อนจะนำไปใช้ จำเป็นต้องพิจารณาถึงข้อจำกัดหลายประการได้แก่

1. ก่อนให้ PrEP จะต้องตรวจยืนยันว่าผู้นั้นไม่ติดเชื้อเอชไอวี โดยการตรวจ anti-HIV ให้ผลลบ และ การตรวจ HIV-RNA ให้ผลลบในกรณีที่สงสัยการติดเชื้อเอชไอวีเฉียบพลัน (เนื่องจากการตรวจวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวีเฉียบพลันด้วย anti-HIV จะให้ผลลบลวงได้) การให้ PrEP แก่ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี ไม่มีประสิทธิผลในการป้องกันหรือรักษา แต่อาจทำให้เกิดปัญหาเชื้อเอชไอวีดื้อยาได้

2. ก่อนให้ PrEP ควรตรวจคัดกรองการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในผู้ที่จะได้รับ PrEP เนื่องจากในผู้ทีมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี การหยุดยา TDF/FTC ที่ใช้ใน PrEP อาจทำให้เกิดการกำเริบของไวรัสตับอักเสบบีหลังหยุดยาได้

3. ผู้ที่ได้รับ PrEP จะต้องไม่มีโรคไตและ/หรือโรคกระดูกบางร่วมด้วย

4. หลักฐานที่สนับสนุนถึงประสิทธิผลของ PrEP มาจากการศึกษาในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีจากการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น ไม่ได้รวมผู้ที่มีความเสี่ยงทางอื่น เช่น ผู้ติดยาเสพติดที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน

5. การนำ PrEP ไปใช้ในวงกว้างในประเทศไทย มีปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงอีกหลายประการได้แก่

5.1 การกำหนดประชากรเป้าหมายและคุณสมบัติของผู้ที่ควรได้รับ PrEP ที่จะต้องมีการกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมและเหมาะสมต่อไป

5.2 ผลข้างเคียงของยาที่อาจเกิดขึ้น เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน ผลต่อการทำงานของไต การสูญเสียมวลกระดูก การกำเริบของไวรัสตับอักเสบบี เป็นต้น

5.3 ความสำคัญการกินยาอย่างครบถ้วนสม่ำเสมอ (adherence) ในระยะยาว

5.4 ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ทั้งค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ ค่ายาต้านไวรัสที่ใช้สำหรับ PrEP ค่าติดตามผลข้างเคียง และค่ารักษาในกรณีที่เกิดผลข้างเคียงหลังได้รับ PrEP

5.5 การชักนำให้เกิด เชื้อเอชไอวีดื้อยา ในผู้ที่ติดเชื้อขณะได้รับ PrEP และผลที่อาจเกิดขึ้น ต่อการตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาต้านไวรัสในอนาคตโดยเฉพาะในผู้ที่มีการกินยาไม่ครบถ้วนสม่ำเสมอ

5.6 ความถี่ในการติดตามเมื่อมีการให้ PrEP ได้แก่การตรวจติดตามการติดเชื้อเอชไอวี การติดตามผลข้างเคียงหลังได้รับ PrEP เป็นต้น

5.7 พฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีของผู้ที่ได้รับ PrEP ที่อาจเพิ่มมากขึ้น

5.8 ความพร้อมของระบบสาธารณสุข เนื่องจากภาระการให้บริการที่เพิ่มขึ้น ทั้งการตรวจวินิจฉัย การให้คำปรึกษา การบริหารจัดการ PrEP การติดตามขณะได้รับ PrEP และการส่งเสริมและติดตามการกินยาอย่างครบถ้วนสม่ำเสมอ เป็นต้น

5.9 PrEP เป็นเพียงมาตรการหนึ่งในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ที่จำเป็นต้องใช้ร่วมกับกับมาตรการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีอื่นๆ เช่น การลดพฤติกรรมเสี่ยง การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ และการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ เป็นต้น

Featured Author

ดร.นฤพล ด้วงวิเศษ 

Proin eget tortor risus. Praesent sapien massa, convallis a pellentesque nec, egestas no

เรื่องเพศหลากเฉดสีกับนฤพนธ์ ด้วงวิเศษ

เรื่องเพศหลากเฉดสีกับนฤพนธ์ ด้วงวิเศษ

ผิดตรงไหน!

ที่ไม่ได้เป็นชายหญิงทั่วไป…

เรื่องเพศเป็นเรื่องที่พูดถึงได้หลากมุมมอง อยู่ที่ว่าจะพูดมุมไหน

โลกใบนี้ไม่ได้มีแค่เพศหญิงและเพศชาย ยังมี เกย์, ทอม, ดี้, กะเทย, ทอมเกย์, ไบ, โบ้ท, เลสเบี้ยน, แองจี้, เชอรี่, อดัม ฯลฯ

ไม่ว่าจะเป็นกะเทยเชอรี่ หรืออดัม ก็ไม่สำคัญเท่าเป็นมนุษย์

แล้วทำไมคนในสังคมจำนวนหนึ่ง จึงมองแค่เปลือก…ดูถูก ดูแคลน เหยียดหยามเพศที่แตกต่างจากเพศทั่วไป โดยไม่ได้มองบริบทอื่นๆ

“สังคมไปตีตราผ่านการเรียกชื่อ บอกว่าวิปริตบ้าง ผิดเพศ เบี่ยงเบนทางเพศ เป็นคนน่าสมเพช ตุ๊ด แต๋ว คำเหล่านี้เป็นวาทกรรม ไม่ได้มาจากพันธุกรรม” ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัยและพัฒนา  ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร กล่าว เมื่อการสนทนาเริ่มออกรส

นอกจากเป็นนักวิชาการด้านมนุษยวิทยา เขายังดำรงตำแหน่งอนุวิชาการ สมาคมเพศวิถีแห่งประเทศไทย และอาจารย์พิเศษ วิชาเพศวิถีศึกษา มีผลงานบทความมากมายและหนังสือหลายเล่ม อาทิ เพศในเขาวงกต,เมื่อร่างกลายเป็นเพศ อำนาจเสรีนิยมใหม่ของเพศวิถีในสังคมไทย ฯลฯ

ถ้าเชื่อว่า สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่เปลือก แต่อยู่ที่การกระทำ ก็ลองอ่านบทสนทนานี้ต่อไป…

ก่อนหน้านี้อาจารย์ไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ?

เพิ่งมาเปิดตัวตอนอายุ 27 ก่อนหน้านี้ก็อยู่ในสังคมผู้หญิงผู้ชายทั่วไป แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราเป็น เราต้องกล้าวิพากษ์ตัวเองก่อน ถ้าเราไม่กล้าออกมาเผชิญโลก เราจะอยู่ในสังคมผู้หญิง ผู้ชายได้หรือ

เมื่อเปิดตัวชัดเจน แล้วเป็นอย่างไรบ้าง

      เปิดทุกสิ่งทุกอย่าง เปิดความคิด ทำให้เราเจอคนหลากหลายรูปแบบ ได้ลงไปคลุกคลีกับปัญหาคนที่เรียกตัวว่าเกย์ เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว (ก่อนปีคศ. 2000) ไม่มีนักวิชาการคนไหนออกมาเขียนงานคนหลากหลายทางเพศเลย

ผลงานชิ้นแรกที่ผมเขียนลงวารสาร เรื่องเซ็กซ์ กามารมณ์ของเกย์ เป็นงานวิชาการที่ให้มุมมองใหม่ๆ เกย์กับวัฒนธรรมบริโภค ซึ่งมุมมองแบบนี้เขียนมานานแล้ว ก็เลยเปิดพื้นที่ คนก็เชิญไปบรรยาย จนทำให้คนรู้จักมากขึ้น รู้สึกสนุกที่ได้ใช้ความรู้ สิ่งที่อยู่กับเราทั้งชีวิตเปิดออกมาในมุมวิชาการ ทำให้คนรู้จักเรา ซึ่งนักศึกษารุ่นใหม่อยากอ่านงานพวกนี้ ก็ตามอ่านงานของเรา สื่อที่นำเสนอเรื่องพวกนี้ก็มีมากขึ้น

เคยเจอแรงต้านจากครอบครัวบ้างไหม

ครอบครัวก็เคยบอกเราว่า อย่าเป็นคนผิดเพศ พอเราทำงานรับผิดตัวเองได้ ก็ไม่พูดแล้ว เพราะเห็นว่า เราเป็นเด็กเรียน และการทำงานวิชาการ เราก็เห็นว่าท้าทายความคิด เราก็สนใจด้านประวัติศาสตร์ และมนุษยวิทยา ชอบเขียนหนังสือ

ตอนที่เราจบปริญญาโท แล้วทำงานด้านความหลากหลายทางเพศ ก็คิดว่า ถ้าเราไม่ยอมรับตัวเอง แล้วจะไปวิพากษ์ใครได้ เราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เราเป็นก่อน ถึงจะกล้าวิพากษ์ปัญหาอื่นๆ ในสังคม

ความหลากหลายทางเพศ เรื่องใดที่ถูกมองอย่างอคติมากที่สุด

คงเป็นเรื่องที่มองว่า คนพวกนี้มีจิตใจผิดปกติ อารมณ์รุนแรง สับสน เพราะคนส่วนใหญ่เห็นตัวอย่างจากสื่อ คิดว่าคนพวกนี้อยู่ในวัฏจักรที่ล่อแหลม เสี่ยงอันตราย หรือมองว่าคนพวกนี้เป็นต้นตอของการละเมิดทางเพศ จริงๆ แล้วคนในแวดวงนี้ ก็มีความหลากหลายเหมือนคนทั่วไป

คนส่วนใหญ่บอกว่าเปิดกว้างเรื่องนี้ แต่เวลาพูดและทำ กลับสวนทางกัน ?

เป็นสังคมที่ย้อนแย้ง บางพื้นที่พูดกันสนุกสนาน บางพื้นที่พูดไม่ได้เลย ยกตัวอย่าง ถ้าเรามีเกย์เป็นนายกรัฐมนตรี สาวประเภทสองเป็นรัฐมนตรี คนก็จะบอกว่าเป็นตัวอย่างไม่ดีของสังคม ทำไมเอาคนพวกนี้มาเป็นผู้ปกครอง แสดงว่าสังคมไม่ยอมรับ แม้จะมีทูตหลายประเทศเปิดตัวว่า มีแฟนเป็นคนเพศเดียวกัน

คำกล่าวที่ว่า “การเบี่ยงเบนทางเพศไม่ได้มาจากพันธุกรรม” อาจารย์มีคำอธิบายอย่างไร

มาจากวาทกรรม สังคมไปตีตราผ่านการเรียกชื่อ บอกว่า วิปริตบ้าง ผิดเพศ เบี่ยงเบนทางเพศ เป็นคนน่าสมเพช ตุ๊ด แต๋ว คำเหล่านี้เป็นวาทกรรม ไม่ได้มาจากพันธุกรรม คนที่เกิดมา มีจิตใจไม่ได้เป็นไปตามเพศกำเนิด จึงไม่ได้สืบทอดมาจากปู่ย่าตายาย แต่มาจากประสบการณ์ของแต่ละคน เขาเลือกเอง ถ้าพ่อแม่เข้าใจก็ดี ถ้าไม่เข้าใจ ด่าว่า ตำหนิ ยิ่งทำให้มีแรงเสียดทาน

เป็นการมองแบบเหมารวมแง่ลบมากกว่าบวก ?

ยกตัวอย่างชุมชนเกย์เติบโตและขับเคลื่อนด้วยระบบบริโภคนิยม สถานประกอบการบาร์ ผับ นำเสนอชีวิตเกย์ผ่านเซ็กซ์ ก็เลยเหมารวมว่า เกย์บ้าเซ็กซ์ ส่วนถูกคือสถานประกอบเหล่านี้ทำให้สินค้าที่โชว์เรื่องเซ็กซ์ครอบงำชีวิตเกย์ เกย์จำนวนหนึ่งก็ให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตามากกว่าคบกันด้วยความรู้สึก เกย์เยาวชนเห็นตัวอย่างจากสถานประกอบการเหล่านี้ ซึ่งส่อไปทางเซ็กซ์เยอะมาก เป็นต้นเหตุเพศสัมพันธ์ไม่ป้องกัน ส่วนหนึ่งก็มีอยู่จริง แต่ไม่ใช่เกย์ทุกคน ยังมีเกย์ที่ทำงานเพื่อสังคม

กลุ่มเกย์ที่ทำเรื่องดีๆ เพื่อสังคม ก็มีไม่ใช่น้อย ?

มีเกย์ที่แฝงตัวทำงานเพื่อสังคมในองค์กรต่างๆ แต่ไม่มีการรวมตัวเป็นองค์กรใหญ่ ต่างจากอเมริกา ยุโรป ที่มีกลุ่มเกย์รณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อม ปัญหายาเสพติด สิทธิมนุษยชน หรือแคมเปญต่อต้านการคอร์รัปชัน แต่เกย์ในเมืองไทยยังอยู่ในกลุ่มเล็กๆ ไม่ค่อยออกมาเคลื่อนไหว 

คิดจะทำเรื่องเหล่านี้ไหม

ก็อยากทำนะ รวมกลุ่มทำงานเพื่อสังคม แต่ต้องมีความพร้อม ผมเคยแนะนำเยาวชนในมหาวิทยาลัย อยากให้มีชมรมนักศึกษาหลากหลายทางเพศ ทำงานจิตอาสาเพื่อสังคม ในตะวันตกยังมีชมรม LGBT ทำงานขับเคลื่อนเรื่องต่างๆ

     เรื่องเพศ เรื่องเซ็กซ์ เป็นเรื่องที่สังคมไทยไม่กล้าพูดในพื้นที่สาธารณะ แต่ทำกันลับๆ รวมถึงเพศนอกจารีตประเพณีทั้งหลาย จะถูกละเมิด เหยียดหยาม และถูกปิดกั้น คนพวกนี้ก็ไม่กล้าแสดงออกในพื้นที่สาธารณะ เพราะกลัวจะถูกมองว่าผิดปกติ คนพวกนี้ถ้าทำงานในระบบราชการ สถานะภาพก็ยังไม่ดี และในโรงเรียนดังๆ มีกฎว่า ห้ามคนพวกนี้มาสมัครเป็นครู พวกเขาไม่ได้ดูคนที่ความสามารถ  เรื่องเหล่านี้เราจึงต้องวิพากษ์มากขึ้น เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศนอกจากงานวิชาการที่ทำเรื่องความหลากหลายทางเพศ อาจารย์อยากทำอะไรเพื่อคนกลุ่มนี้อีก

      อยากรณรงค์ให้คนหลากหลายทางเพศ เห็นการเหยียดหยามดูถูกของคนกลุ่มเดียวกันมากขึ้น ยกตัวอย่างในกลุ่มเกย์ ก็มีการแบ่งแยกชนชั้น เกย์รวยกับเกย์จน กระเทยสวยและกระเทยที่ยากจน ในชุมชนหลากหลายทางเพศก็มีความไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งสังคมมองไม่เห็น เพราะดูจากสื่อกระแสหลัก จึงคิดว่า เกย์ กระเทย ทอม ดี้ ชีวิตก็ดีอยู่แล้ว รวย แต่มีมิติลึกลงไปอีก ยังมีกระเทย ทอม ดี้ ชนชนแรงงาน ชายขอบอีกเยอะ

ความเข้าใจเรื่องเพศ ยังเป็นปัญหามากน้อยเพียงใด

      สังคมไทยยังไม่ค่อยมีความเข้าใจเรื่องเพศ มองว่า คนที่มีจิตใจไม่ตรงกับเพศสรีระของตัวเอง เป็นพวกวิปริต ผิดปกติ สาเหตุมาจากฮอร์โมน การเลี้ยงดู พันธุกรรม ซึ่งเป็นความเข้าใจไม่ตรงนัก ทำให้เด็กเกิดมามีปมด้อย พ่อแม่ก็จะกลัวว่าลูกโตขึ้นจะไม่มีความสุข ทำให้สังคมเดือดร้อน อคติแบบนี้จะฝังอยู่ในเรื่องเพศ

เวลาเขียนบทความหรืองานวิจัย เราก็เอาปัญหาตรงนี้มาชี้ให้เห็น เราต้องไปร่วมมือกับองค์กรที่สร้างนโยบายสังคม ซึ่งตอนนี้ไม่มีเวทีเวิร์คชอป เพราะหน่วยงานรัฐคิดว่าเรื่องเพศไม่ใช่ปัญหาใหญ่ในสังคม แต่เป็นปัญหาปากท้อง

เท่าที่ผ่านมาบทความชิ้นไหนของอาจารย์ที่สร้างแรงกระเพื่อมในสังคมได้บ้าง     

     น่าจะเรื่องการรณรงค์ให้เกย์มีเซ็กซ์ที่ปลอดภัย เพราะการเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ ทำให้เสี่ยงติดโรค การแก้ปัญหาทุกวันนี้แก้ไม่ตรงจุด ไม่เข้าใจบริบทวัฒนธรรมของเกย์ไทย เงื่อนไขที่ทำให้คนมีเซ็กซ์กลายเป็นเรื่องปกติ เพราะมีแอพลิเคชั่น นัดเจอกันง่ายๆ หรือสื่อธุรกิจเร้าให้คนมีเซ็กซ์ กลายเป็นช่องว่างที่คนกลุ่มหนึ่งพยายามผลักดันให้กลุ่มเกย์ไปตรวจเลือด แต่ไม่เข้าใจสิ่งเร้าที่ทำให้คนกลุ่มนี้เข้าสู่วงจรเหล่านี้ เรื่องนี้ยังเหมือนเดิม และสถิติเกย์ติดเชื้อก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกย์รุ่นใหม่มองว่า เป็นเอดส์ไม่ตายแล้ว เหมือนโรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง

ผมเองเคยทำงานวิชาเรื่องความเคลื่อนไหวของเกย์ในประเทศไทย เมื่อ 8 ปีที่แล้ว และมองว่าสังคมไทยยังไม่ค่อยมีความเข้าใจเรื่องเพศ น่าสนใจว่า การรวมตัวของเกย์เป็นไปเพื่อความสนุกสนานมากกว่า มีจัดประกวด จัดปาร์ตี้สังสรรค์ และเกย์ที่ทำงานเพื่อสังคมก็มีอยู่ แต่ไม่มาก 

ประเด็นหลักที่อาจารย์คิดว่า ควรแก้ไขอย่างเร่งด่วนคือเรื่องใด

การผลิตซ้ำมายาคติตำราที่สอนในโรงเรียน ตั้งแต่มัธยมถึงมหาวิทยาลัย ยกตัวอย่างในตำราเรียน มีการนิยามเรื่องความผิดปกติทางเพศ เกย์ กระเทย คือพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ และสังคมไทย น่าจะมีชมรมหรือสโมสรนักเรียนนักศึกษาหลากหลายทางเพศ หรือชมรมพ่อแม่ที่มีลูกหลากหลายทางเพศ การทำงานกับพ่อแม่ก็สำคัญ เพราะมีอิทธิพลต่อลูก ถ้าพ่อแม่ไม่เข้าใจ เด็กก็จะเข้าหาเพื่อนหรือสื่ออื่นๆ

ปัญหาหลักในชุมชนหลากหลายทางเพศ อาจารย์คิดว่าเป็นเรื่องอะไร

อย่างกระเทยยากจนไร้บ้าน ก็จะถูกตีตราไปอีกว่า ยากจนแล้วยังผิดปกติ เสี่ยงถูกทำร้ายมากกว่าคนทั่วไป เป็นปัญหาสะสมมานาน ปัจจุบันยังไม่มีองค์กรเกย์กระเทยที่ไหนลุกขึ้นมาทำงานจริงจัง นอกจากเรื่องสิทธิทางกฎหมาย และการแต่งงานของเพศเดียวกัน เรื่องนี้จึงขาดการเชื่อมโยงให้เห็นว่า กลุ่มพวกเดียวกันมีปัญหาอะไรบ้าง แต่ไปมองว่า ควรให้โอกาสเกย์ในบางอย่าง 

ปัญหาเรื่องเพศ ต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการให้ความรู้อย่างไร

ถ้าจะสอนเรื่องเพศ ต้องปฎิรูปการศึกษาให้ความรู้ตั้งแต่อนุบาล

ตอนเก็บข้อมูลเรื่องความหลากหลายทางเพศ อาจารย์เจอเรื่องที่ไม่คาดคิดอะไรบ้าง

     เด็กมัธยมอยากสวยหล่อแบบเกาหลี ซื้อโบท็อกซ์มาฉีดเอง บางคนก็ซื้อยามากินเอง เดี๋ยวนี้มีการสร้างกลุ่มไลน์ที่มีเครือข่ายของการมีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้น บางคนทำเป็นธุรกิจ ขนาดที่ว่าเอาคลิปตอนมีเซ็กซ์ไปขาย ใครอยากดูต้องเสียเงินในออนไลน์

ทั้งเกย์ ทอม ดี้ และทุกเพศ สนใจการทำศัลยกรรมความงาม เปลี่ยนรูปลักษณ์ตัวเองให้หล่อสวยแบบอุดมคติ มีร่างกายเซ็กซี่ตามอุดมคติด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ ซึ่งเด็กรุ่นใหม่ตกอยู่ในวิธีคิดแบบนี้       

และคนรุ่นใหม่ เข้าสู่วงจรของการบริการทางเพศเร็วขึ้น บางครั้งไม่ต้องเป็นเกย์ ก็พร้อมจะมีเซ็กซ์กับผู้ชายด้วยกัน  คลิปที่เด็กผู้ชายมีอะไรกัน เด็กๆ ก็คิดว่าตัวเองได้ทั้งเงินและคนยอมรับ บางคนเป็นไอดอลไปเลย เด็กผู้ชายหน้าตาดีก็ได้รับการยอมรับ ถ้าโด่งดังแล้วก็มีการไลฟ์สดจากออนไลน์

ต้องแก้ปัญหานี้อย่างไร

ปัญหาซับซ้อนมาก เพราะสังคมออนไลน์เป็นตัวกระตุ้นได้เร็ว ซึ่งเป็นทั่วโลก และทักษะการใช้ออนไลน์แต่ละคนไม่เท่ากัน ถ้าพื้นฐานของเด็กขาดแคลนเรื่องเงิน ผู้ใหญ่บางคนเอาเซ็กซ์มาล่อ เรื่องนี้แก้ยาก

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/788028

Featured Author

ดร.นฤพล ด้วงวิเศษ 

Proin eget tortor risus. Praesent sapien massa, convallis a pellentesque nec, egestas no