ยา PrEP

ยา PrEP

ยาเพร็พ หรือ PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) คือ ยาสำหรับป้องกันก่อนสัมผัสเชื้อเอชไอวี (HIV) โดยวิธีการกินคือ กินก่อนที่จะไปเจอความเสี่ยง ซึ่งยาเพร็พ (PrEP) สามารถลดอัตราการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ผ่านการมีเพศสัมพันธ์สูงถึง 99%

วิธีการกินยาเพร็พ (PrEP)

การกินยาเพร็พ (PrEP) สามารถกินได้ 2 วิธี

  1. ยาเพร็พแบบที่กินทุกวัน (Daily PrEP)
  2. ยาเพร็พแบบที่กินเฉพาะก่อนจะมีเพศสัมพันธ์ (On-Demand PrEP)

วิธีการกินนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของกิจกรรมทางเพศของผู้ที่ต้องการจะกินยาเพร็พ (PrEP)

ยาเพร็พ (PrEP) ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น ดังนั้นควรใส่ถุงทุกครั้งระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดป้องกันจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น

ผู้ที่ควรกินยาเพร็พ (PrEP) 

ยาเพร็พ (PrEP) เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวีสูง (HIV) เช่น คู่รักเพศเดียวกัน, ผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนหลายคน หรือผู้ที่รับยาเป็ป (PEPSE) เป็นประจำ เนื่องจากเกิดการผิดพลาดระหว่างมีเพศสัมพันธ์จนเกิดความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อเอชไอวี (HIV) เป็นต้น

หากต้องการรับยาเพร็พ (PrEP) หรือต้องการพบแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและวิธีการรักษาพร้อมรับยาเพร็พ (PrEP) สามารถติดต่อเราได้ตลอดเวลาทำการ

เพร็พ (PrEP-Pre-Exposure Prophylaxis) คือ ยาต้านไวรัสที่ป้องกันการติดชื้อเอชไอวีในผู้ที่มีผลเลือดลบ เริ่มใช้ตรียมไว้ก่อนจะมีโอกาสสัมผัสเชื้อ และใช้ต่อเนื่องไปจนหมด

  1. กินยา PrEP นี้เป็นประจำทุกวัน วันละ 1 ครั้ง
  2. ตรวจเลือดเพื่อติดตามประสิทธิภาพของยาทุก ๆ 3 เดือน
  3. ไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้ เช่น หนองใน หนองในเทียม หรือชิฟิลิส
  4. เพร็พอาจจะเหมาะกับคุณ หากคุณไม่สามารถใช้ถุงยางอนามัยได้ทุกครั้ง หรือเคยมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือใช้ยาเมื่อมีเพศสัมพันธ์

เพ็พ (PEP- Post-Exposure Prophylaxis) คือ ยาต้านไวรัสฉุกเฉิน สำหรับผู้ที่มีผลเลือดลบที่เพิ่งสัมผัสเชื้อมาไม่เกิน 72 ชั่วโมง

  1. ต้องได้รับทันที ห้ามเกิน 72 ชั่วโมง
  2. รับยาติดต่อกัน 28 วัน

สงสัยว่าสัมผัสเชื้อ ไม่แน่ใจในความเสี่ยง รีบรับคำปรึกษา และตรวจเลือดได้ทันที

 

ที่มา : PSK CLINIC คลินิกสุขภาพทางเพศ บริการตรวจและให้คำปรึกษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

HIV/AIDS

HIV/AIDS

เชื้อ HIV สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสเลือด น้ำเหลือง น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด ส่วนน้ำลาย เสมหะและน้ำนมมีปริมาณเชื้อ HIV น้อย สำหรับเหงื่อ ปัสสาวะและอุจจาระแทบไม่พบเลย ทั้งนี้มีช่องทางการติดต่อที่สำคัญ ได้แก่

  1. การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เช่น ไม่ได้ใส่ถุงยางอนามัย ไม่ว่าชายกับชาย ชายกับหญิง หรือหญิงกับหญิง ทั้งทางช่องคลอดและทวารหนัก ก็ล้วนมีโอกาสติดโรคนี้ได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้ จากข้อมูลของการระบาดวิทยาพบว่า มากกว่าร้อยละ 80 ของผู้ติดเชื้อ HIV ได้รับเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์
  2. ใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อ HIV ซึ่งมักพบในกลุ่มผู้ฉีดสารเสพติดเข้าเส้นเลือด
  3. การสัมผัสเลือดหรือน้ำเหลืองของผู้ติดเชื้อ HIV ผ่านผิวสัมผัสที่เป็นแผลเปิดหรือรอยถลอก รวมทั้งการใช้ของมีคมร่วมกับผู้ติดเชื้อ HIV โดยไม่ทำความสะอาดอุปกรณ์ให้สะอาดเพียงพอ เช่น มีดโกนหนวด กรรไกรตัดเล็บ เข็มสักผิวหนังหรือคิ้ว เข็มเจาะหู
  4. การติดต่อจากแม่สู่ลูก ทั้งระหว่างตั้งครรภ์ การคลอดและการเลี้ยงดูด้วยนมแม่
  5. การรับโลหิตบริจาคที่มีเชื้อ HIV ปนเปื้อน ซึ่งมีโอกาสน้อยมากในปัจจุบัน เนื่องจากโลหิตที่ได้รับบริจาคทุกขวดต้องผ่านการตรวจหาการติดเชื้อ HIV เพื่อความปลอดภัย

หากสงสัยว่า ได้รับเชื้อ HIV ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อกินยาต้านเชื้อ HIV แบบฉุกเฉินหรือยา PEP (เพ็บ) ภายใน 72 ชั่วโมง หรือหากมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับเชื้อสามารถกินยา PrEP (เพร็บ) ซึ่งเป็นยาที่กินก่อนที่จะได้รับเชื้อหรือป้องกันเชื้อ HIV ได้

ระยะของการติดเชื้อ HIV

ระยะแรกเริ่มของการติดเชื้อ HIV ในช่วงแรกที่ติดเชื้อปริมาณไม่มาก และยังไม่ได้สร้างภูมิต้านทานขึ้นมาอาจยังตรวจหาเชื้อหรือภูมิต้านทานต่อเชื้อไม่พบ ซึ่งอาจเป็นช่วงตั้งแต่ 2-12 สัปดาห์ ในระยะนี้ผู้ติดเชื้อจะมีอาการไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว น้ำหนักลด หรือมีฝ้าขาวในช่องปาก อาการเหล่านี้มักจะเป็นอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ แล้วหายไปได้เอง และเนื่องจากอาการคล้ายไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่หรือไข้ทั่วไป ผู้ติดเชื้ออาจซื้อยากินเองหรือไปพบแพทย์ก็อาจไม่ได้รับการตรวจเลือด นอกจากนี้บางรายหลังติดเชื้ออาจไม่มีอาการผิดปกติปรากฏให้เห็น ดังนั้นผู้ติดเชื้อบางรายจึงอาจไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่ในระยะนี้

ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ ผู้ติดเชื้อมักจะแข็งแรงเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป แต่เมื่อตรวจเลือดจะพบเชื้อ HIV และสารภูมิคุ้มกันต่อเชื้อชนิดนี้ จึงสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ เรียกว่าเป็นพาหะ (Carrier) ระยะนี้แม้ว่าจะไม่มีอาการแต่เชื้อ HIV จะแบ่งตัวเจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ และทำลายระบบภูมิคุ้มกันโรคจนมีจำนวนลดลง เมื่อลดต่ำลงมาก ๆ ก็จะเกิดอาการเจ็บป่วย ทั้งนี้อัตราการลดลงของระบบภูมิคุ้มกันโรคจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเชื้อ HIV และสภาพความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันโรคของผู้ติดเชื้อเอง ระยะนี้คนส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 85 มักเป็นอยู่นาน 5-10 ปี แต่มีกลุ่มผู้ป่วยประมาณร้อยละ 10 ที่ระยะนี้อาจสั้นเพียง 2-3 ปี ซึ่งเรียกว่า กลุ่มที่มีการดำเนินโรคเร็ว (Rapid progressor) ในขณะที่ประมาณร้อยละ 5 จะมีการดำเนินโรคช้า โดยบางรายอาจนานกว่า 10-15 ปีขึ้นไป เรียกว่า กลุ่มที่ควบคุมเชื้อได้ดีเป็นพิเศษ (Elite controller)

ระยะติดเชื้อที่มีอาการ  ผู้ป่วยจะมีอาการมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระบบภูมิคุ้มกันโรค ดังนี้

อาการเล็กน้อย ระยะนี้ถ้าตรวจระดับ CD4 มักจะมีจำนวนมากกว่า 500 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร ผู้ป่วยอาจมีอาการต่อมน้ำเหลืองที่คอโตเล็กน้อย โรคเชื้อราที่เล็บ แผลร้อนในในช่องปาก ผิวหนังอักเสบชนิดเกล็ดรังแคที่ไรผม ข้างจมูก ริมฝีปาก ฝ้าขาวข้างลิ้นซึ่งขูดไม่ออก โรคสะเก็ดเงินที่เคยเป็นอยู่เดิมกำเริบ

อาการปานกลาง ระยะนี้ถ้าตรวจระดับ CD4 มักจะมีจำนวนระหว่าง 200-500 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร ผู้ป่วยอาจมีอาการดังนี้ เริมที่ริมฝีปากหรืออวัยวะเพศ ซึ่งกำเริบบ่อยและเป็นแผลเรื้อรัง งูสวัด โรคเชื้อราในช่องปากหรือช่องคลอด ท้องเสียบ่อยหรือเรื้อรังนานเกิน 1 เดือน มีไข้เป็น ๆ หาย ๆ หรือติดต่อกันทุกวันนานเกิน 1 เดือน ต่อมน้ำเหลืองโตมากกว่า 1 บริเวณ (เช่น คอ รักแร้ และขาหนีบ) นานเกิน 3 เดือน น้ำหนักลดเกินร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ ปวดกล้ามเนื้อและข้อ ไซนัสอักเสบเรื้อรัง ปอดอักเสบจากแบคทีเรีย

ระยะป่วยเป็นเอดส์ (เอดส์เต็มขั้น) ระยะนี้ระบบภูมิคุ้มกันโรคของผู้ป่วยเสื่อมเต็มที่ ถ้าตรวจระดับ CD4 จะพบว่ามักมีจำนวนต่ำกว่า 200 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร เป็นผลทำให้เชื้อโรคต่าง ๆ เช่น ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา โปรโตซัว วัณโรค ฉวยโอกาสเข้ารุมเร้าเรียกว่า โรคติดเชื้อฉวยโอกาส ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อที่รักษาค่อนข้างยากและอาจติดเชื้อชนิดเดิมซ้ำ หรือชนิดใหม่หรือหลายชนิดร่วมกัน ระยะนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการดังนี้ มีไข้เรื้อรังติดต่อกันหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน ไอเรื้อรังหรือหายใจหอบเหนื่อยจากวัณโรคปอดหรือปอดอักเสบ ท้องเสียเรื้อรังจากเชื้อราหรือโปรโตซัว น้ำหนักลด รูปร่างผอมแห้งและอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน กลืนลำบากหรือเจ็บเวลากลืนเนื่องจากหลอดอาหารอักเสบจากเชื้อรา สายตาพร่ามัว มองไม่ชัดหรือเห็นเงาหยากไย่ลอยไปลอยมา ตกขาวบ่อยในผู้หญิง มีผื่นคันตามผิวหนัง ซีด มีจุดแดงจ้ำเขียวหรือเลือดออกจากภาวะเกล็ดเลือดต่ำ สับสน ความจำเสื่อม หลงลืมง่าย ไม่มีสมาธิ พฤติกรรมผิดแปลกจากเดิมเนื่องจากความผิดปกติของสมอง ปวดศีรษะรุนแรง ชัก สับสน ซึม หรือหมดสติจากการติดเชื้อในสมอง อาการของโรคมะเร็งที่เกิดแทรกซ้อน เช่น มะเร็งของผนังหลอดเลือด มะเร็งต่อมน้ำเหลืองในสมอง มะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก เป็นต้น

ถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัย

CONDOM : ถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ ซึ่งจะเสื่อมสภาพได้เองเมื่อระยะเวลาผ่านไปแต่จะเสื่อมสภาพมากขึ้นหากมีการเก็บรักษาอย่างไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีอากาศร้อนชื้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพก่อนถึงระยะเวลาที่กำหนด จึงควรมีวิธีการเก็บรักษาอย่างถูกต้อง

? ไม่ควรเก็บในที่มีความชื้นสูง ที่ร้อนหรือถูกแสงแดดหรือแสงฟลูออเรสเซนต์ส่องโดยตรง

? ไม่ควรเก็บถุงยางอนามัยไว้ในรถยนต์เพราะมีโอกาสได้รับความร้อนสูงเป็นเวลานาน

? ไม่ควรเก็บในที่ๆไม่เหมาะสม เช่น ในกระเป๋าสตางค์หรือกระเป๋ากางเกงด้านหลัง เพราะจะมีการกดทับทำให้ถุงยางอนามัยฉีกขาดได้ง่าย

ชนิดของถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัยแบ่งชนิดตามลักษณะผิวเป็น 2 ชนิด คือ ผิวเรียบและผิวไม่เรียบ นอกจากนี้ผู้ซื้อควรสังเกตข้อความอื่นๆว่าครบถ้วนและตรงกับความต้องการหรือไม่ เช่น ชื่อผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า รุ่นที่ผลิตเดือนปีที่ผลิต มีสารหล่อลื่นหรือสารฆ่าเชื้ออสุจิ มีสารแต่งกลิ่นหรือไม่ ฯลฯ ถุงยางอนามัยโดยทั่วไปทำจากน้ำยางธรรมชาติ น้ำยางสังเคราะห์ มีหลายสีให้เลือก มีหลายแบบ ทั้งแบบปลายเรียบมน ปลายเป็นกระเปาะหรือเป็นติ่งยื่นออกมาแบบชโลมด้วยสารหล่อลื่น และแบบที่เคลือบน้ำยาฆ่าตัวอสุจิ ถ้าแบ่งตามลักษณะผิว จะมีทั้งแบบผิวเรียบและผิวไม่เรียบ ถ้าแบ่งตามขนาด มีด้วยกันถึง 13 ขนาดตั้งแต่ขนาด 44 จนถึง 56 มิลลิเมตร ในประเทศไทยขณะนี้จำหน่ายขนาด 49 , 51, 52 ,53, 54 และ 56 มิลลิเมตร

เพื่อความมั่นใจมากขึ้นสำหรับการคุมกำเนิดและป้องกันการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงได้มีการนำสารที่เรียกว่า “โนน็อกซินอล” (Nonoxynol) ซึ่งเป็นสารฆ่าเชื้ออสุจิเคลือบบนถุงยางอนามัย

ข้อดีของถุงยางอนามัยชาย

? ใช้คุมกำเนิด ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

? ใช้ได้โดยไม่ต้องปรึกษาแพทย์ ปลอดภัย ไม่มีอาการแทรกซ้อนหรืออาการข้างเคียง เห็นผลง่ายและป้องกันได้ทันที

? พกสะดวก น้ำหนักเบา หาซื้อได้ง่าย ราคาถูก ใช้เสร็จแล้วทิ้งได้เลย

? ช่วยยืดระยะเวลาหลั่งน้ำอสุจิได้ และไม่มีผลเสียต่อการเจริญพันธุ์เมื่อเลิกใช้

ข้อจำกัดของถุงยางอนามัยชาย

? ต้องสวมถุงยางอนามัยในขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่

? ความรู้สึกในการใช้ถุงยางอนามัย บางคนใช้แล้วรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ แม้ว่าถุงยางอนามัยจะบางมาก

? ต้องจัดเก็บในที่เหมาะสม ไม่อยู่ในที่ร้อนจัดหรือแสงแดดส่องถึง และเมื่อใช้เสร็จแล้วควรทิ้งถุงยางอนามัยในที่เหมาะสม

? หากใช้ผิดวิธี อาจทำให้ถุงยางอนามัยแตกและมีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้

? ควรมีแหล่งบริการถุงยางอนามัยให้เข้าถึงได้สะดวก

การเลือกซื้อถุงยางอนามัย

อ่านฉลากก่อนซื้อ และก่อนเลือกใช้ สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณา คือ

? บรรจุภัณฑ์อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ไม่ชำรุดเสียหาย

? มีเครื่องหมาย อย.เพื่อให้ทราบว่าถุงยางอนามัยมีคุณภาพ ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือไม่

? เดือน ปี ที่หมดอายุ ก่อนซื้อต้องสังเกต เดือน ปี ที่หมดอายุของถุงยางอนามัยที่พิมพ์ไว้บนกล่องหรือซองบรรจุ หากเป็น เดือน ปี ที่ผลิต ให้คิดอายุการใช้งานโดยบวกเพิ่มไปไม่เกิน 5 ปี

? เลือกขนาดที่เหมาะสม และคุณสมบัติที่ตรงกับความต้องการ

สารหล่อลื่น

การผลิตถุงยางอนามัยโดยปกติแล้วจะมีการเติมสารหล่อลื่นด้วย

สารหล่อลื่นที่ใช้ได้ คือ สารหล่อลื่นชนิดน้ำ (Water-Based Lubricants) มีน้ำหรือซิลิโคน เป็นตัวละลาย เช่น กลีเซอรีน เค-วายเจลลี่

สารหล่อลื่นที่ไม่ควรใช้ คือ สารหล่อลื่นที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน (Oil-Based Lubricants) น้ำมันพืช น้ำมันแร่ เช่น ปิโตรเลี่ยม เจลลี่ น้ำมันทาผิว น้ำมันปรุงอาหาร ฯลฯ น้ำมันจะไปทำปฏิกิริยากับยาง และทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพและแตกขาดได้

วิธีการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้อง

1. ใช้ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางทวารหนัก ช่องคลอดหรือทางปาก ควรพกถุงยางอนามัยมากกว่าหนึ่งชิ้น ให้เพียงพอต่อการใช้ วางถุงยางอนามัยในที่หยิบง่าย เพื่อสะดวกต่อการใช้งาน

2. ใช้ตลอดการมีเพศสัมพันธ์ โดยใส่ถุงยางอนามัยขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ ระหว่างใช้ ถ้าลื่นหลุดหรือแตกต้องเปลี่ยนอันใหม่ทันที

3. นำถุงยางอนามัยออกจากซองอย่างระมัดระวัง โดยรีดถุงยางอนามัย ไปไว้ที่มุมใดมุมหนึ่ง ฉีกซองโดยระวังมิให้เล็บมือเกี่ยวถุงยางอนามัยขาดและอย่าคลี่ถุงยางอนามัยออกก่อนการสวมใส่

4. บีบส่วนปลายของถุงยางอนามัยเพื่อไล่ลมออก มิฉะนั้นจะทำให้ถุงยางอนามัยแตกได้

5. รูดถุงยางอนามัยให้ขอบถุงยางอนามัยที่ม้วนอยู่ด้านนอก หากอวัยวะเพศไม่ได้ขลิบปลาย ให้รูดหนังส่วนปลายก่อนการสวมใส่ ค่อยๆรูดถุงยางอนามัยเข้าหาตัวจนสุดโคนอวัยวะเพศ

6. ถ้าใช้ถุงยางอนามัยแล้วรู้สึกฝืด ให้หยดสารหล่อลื่นหรือเจลชนิดละลายในน้ำ เช่น เค-วาย เจล 1-2 หยด บริเวณด้านนอกถุงยางอนามัย จะช่วยให้รู้สึกราบรื่นขึ้น ห้ามใช้โลชั่น น้ำมันทาผิว หรือครีมทาผม กับถุงยางอนามัย เพราะผลิตภันฑ์ที่มีน้ำมันเป็นส่วนผสม จะทำให้ถุงยางอนามัยแตก และรั่วซึมได้

7. หลังเสร็จกิจให้ดึงอวัยวะเพศออกทันทีและถอดถุงยางอนามัยออกก่อนที่อวัยวะเพศจะอ่อนตัว โดยใช้กระดาษชำระพันโคนถุงยางอนามัยก่อนที่จะถอด หากไม่มีกระดาษชำระจะต้องระวังไม่ให้มือสัมผัสกับด้านนอกของถุงยางอนามัย ควรสันนิษฐานว่าด้านนอกของถุงยางอนามัยอาจจะปนเปื้อนเชื้อโรคแล้ว

8. ถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วควรห่อให้มิดชิด แล้วทิ้งในถังขยะ ห้ามใช้ซ้ำ

ทำอย่างไร… ถ้าถุงยางอนามัยแตก

1. หยุดร่วมเพศทันที แล้วถอดถุงยางอนามัยออก

2. ปัสสาวะทิ้งและล้างอวัยวะเพศด้านนอกด้วยน้ำสะอาด อย่าฉีดน้ำสวนช่องทวาร หรือช่องคลอด เพราะอาจทำให้เกิดแผลเปิด และน้ำอาจดันน้ำเชื้อและเชื้อโรคเข้าไปได้

3. สวมถุงยางอนามัยชิ้นใหม่

4. หากร่วมเพศทางทวารหนักควรปฏิบัติตามขั้นตอนข้างต้น แต่ห้ามถ่ายอุจจาระ เพราะอาจทำให้เกิดแผลเปิดในช่องทวารหนัก และเปิดช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้

ถุงยางอนามัยใครว่าเรื่องของผู้ชาย

อุปกรณ์คุมกำเนิดส่วนใหญ่ มุ่งไปที่ผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็น ยาคุม ยาฉีด ยาฝัง หรือห่วงคุมกำเนิด ซึ่งล้วนแต่ป้องกันการท้อง แต่ไม่สามารถป้องกันเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ยกเว้นอุปกรณ์เพียงหนึ่งเดียวที่ป้องกันได้ทั้งท้องและโรค แต่ผู้หญิงกลับไม่ได้ใช้เอง คือ ถุงยางอนามัย เราควรคิดใหม่ว่าถุงยางอนามัยเป็นเรื่องของคน 2 คน ทั้ง 2 ฝ่าย สามารถเริ่มต้นชวนคุยและชวนกันใช้ถุงยางอนามัยได้

เพื่อสร้างความมั่นใจในการมีเพศสัมพันธ์ที่มีความสุข ไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

ใช้ถุงยางอนามัยง่ายนิดเดียวถ้าอยากใช้

ใส่ถุงยางอนามัยให้มั่นใจ ต้องเริ่มใส่เมื่ออวัยวะเพศชายแข็งตัว ไม่ว่าจะใส่เองหรือคู่นอนใส่ให้ ก็อย่าลืมบีบถุงยางอนามัยไล่ลมแล้วรูดให้สุดโคน เมื่อหลั่งน้ำอสุจิเสร็จแล้วจึงถอดถุงยางอนามัย ข้อดีของการใช้ถุงยางอนามัย คือ ช่วยยืดเวลาการหลั่งน้ำอสุจิให้ช้าลง ทำให้มีความสุขร่วมกันนานขึ้น ไม่ต้องกังวลเรื่องการติดเชื้อ และยังมีให้เลือกหลายแบบ ข้อสำคัญอย่าลืมเตรียมถุงยางอนามัยไว้ข้างกาย เพราะเราต้องรอบคอบ เตรียมพร้อมต่อการมีเซ็กส์ที่ปลอดภัยเสมอ

ถุงยางอนามัยสองชั้น และใส่ก่อนหลั่ง…ชัวร์หรือมั่วนิ่ม

วัยรุ่นและไม่รุ่นหลายคนมักใส่ถุงยางอนามัย 2 ชั้น เพื่อเพิ่มการป้องกัน แต่วิธีการนี้ไม่ช่วยป้องกันการติดเชื้อมากไปกว่าการใส่ถุงยางอนามัยชั้นเดียว ยิ่งไปกว่านั้น การใส่ถุงยางอนามัยสองชั้นทำให้เนื้อยางเสียดสีกันมากขึ้นและอาจทำให้รั่วซึมได้ ส่วนการใส่ถุงยางอนามัยก่อนหลั่งนั้น ก็เหมือนกับการหลั่งภายนอก เพราะมีการสอดใส่และสัมผัสน้ำหล่อลื่นของทั้งคู่ไปแล้วจึงอาจจะมีโอกาสติดเชื้อได้

Sex รอบคอบ ตอบ OK

Sex อย่างไร คือ รอบคอบ

  • ไม่พร้อมมี Sex ต้อง “Say No”
  • ถุงยางอนามัยป้องกันโรคได้ ไม่ใช้ถือว่า “ประมาท”

Sex แบบไหน ถึงจะตอบ OK

  • มีถุงยางอนามัย พร้อมใช้ ใช้ถูกวิธี ทุกครั้งที่มี Sex
  • ใช้ถุงยางอนามัย คือ รับผิดชอบตนเองและคู่

ที่มา : กรมควบคุมโรค

Anantara Chiang Mai Resort presents “Celebrate your PRIDE เปียะตึงตั๋ว Party”

Anantara Chiang Mai Resort presents “Celebrate your PRIDE เปียะตึงตั๋ว Party”

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน 2022

• ธีม: Pool Party
• วันที่: 26 มิถุนายน 2022
• สถานที่: สระว่ายน้ำ ชั้น7 เซอร์วิส สูท โรงแรม อนันตรา เชียงใหม่ รีสอร์ท
• เวลา: 15.00 – 22.00น.
• ออแกไนซ์: XXY Party
• จองตั๋วร่วมงาน: [email protected] หรือ
สแกน QR CODE
มาร่วมแสดงพลัง LGBTQIA+ สนุกด้วยกัน ทุกเพศ กับ งาน อนันตรา เชียงใหม่ รีสอร์ท presents “ Celebrete your pride เปียะตึงตั๋ว Party” ครั้งแรก กับการ เฉลิมฉลอง PRIDE ในรูปแบบ pools party ที่เชียงใหม่ พบกับ ดีเจสาวสุดเซกซี่ หนุ่มๆ สุดฮอต และ โชว์พิเศษ จาก แดรกควีน วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน นี้ เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป ทีโรงแรม อนันตรา เชียงใหม่
NARUMIT PRIDE 2022

NARUMIT PRIDE 2022

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2565 ถนนสีลมคับคั่งไปด้วยสีสรรแห่งความหลากหลาย นั่นคือเทศกาล ไพร์ดนฤมิต 2022 

ปังแบบนี้ จะมีสักกี่ครั้ง .. ใครเป็นใคร ไปชมกันครับ